ออม สุชาร์ โต้กลับดราม่า ปมดาราฮุบกิจการ ?
หลังมีกระแสข่าวร้อนสะเทือนวงการ ว่ามีดาราสาวถูกโยงเป็นหนึ่งในเคส ฮุบกิจการ หลอกซื้อหุ้น จนถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก ล่าสุด ออม สุชาร์ มานะยิ่ง ออกมาเปิดใจครั้งแรก ตอบทุกข้อสงสัยอย่างตรงไปตรงมา หลังจากผู้ถือหุ้น คือคุณพริม ณัฐชา(ผู้ถือหุ้น 48%) และคุณศสา(อดีตผู้จัดการ) ได้พูดในมุมของเขาแล้วในวันที่ผ่านมา GRACEONTHEMOON
วันนี้ ออม สุชาร์ ขอพูดในมุมของเธอบ้าง ซึ่งออมได้พูดว่าจะพูดความจริงทุกอย่างว่าทำไมต้องซื้อหุ้น 4% ซึ่งออมเล่าว่า ได้รู้จักกับพริมจากอดีตผู้จัดการคือคุณศสาและตลอดเวลาที่ทแบรนด์ด้วยกับมีความสุขมาก ๆ เดิมเรื่องการถือหุ้น ออมเป็นคนคิดเรื่องการแบ่งหุ้น โดย แบ่งเป็น 45% 45% 10% และเวลาผ่าไปถ่ายแบบและทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทาง พริม โทรมาขอขยับหุ้นเป็น 51% ซึ่งแบ่งมาจากหุ้นของคุณศสา โดยบอกออมว่าจะได้ตัดสินใจอะไรง่ายขึ้น
ซึ่งทางตัวของ พริม ได้ปรึกษา ทางคุณแอมป์ (แฟนออม) โดยแอมป์พูดกับพริมว่า
“หัวใจของนักธุรกิจสิ่งแรกคือความซื่อสัตย์ เราบอกจะให้พี่สสาเท่าไหร่คือเท่านั้น”
หลังจากนั้นก็ได้มีการปรับหุ้นเป็น 51% 45% 4% ซึ่งเป็นเพียงข้อตกลงที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งออมก็ยอมตามที่พริมบอก โดยมีการคุยกับส่วนตัวโดยไม่มีใครรับรู้ทั้งที่บ้าน และแฟน แต่พอหลังจากนั้นคนทางบ้านได้ทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงหุ้น และยืนยันว่าทางออมยืนยันว่าทางพริมเป็นคนขอลดสัดส่วนเอง และในวันเซนต์สัญญา โดยออมรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับตัวเอง โดยสัญญาระบุว่า ออมห้ามรับพรีเซนต์เตอร์อะไรเลย แต่ทางอีกฝ่ายสามารถทำสิ่งอื่น ๆ ได้
ซึ่งเรื่องการเริ่มต้นทางแบรนด์ ออมสุชาร์ ได้บอกว่ารู้ว่า ทางพริม เคยทำแบรนด์มาก่อน แต่ว่าได้มีการเลิกทำไปแล้วจึงตัดสินใจทำแบรนด์ร่วมกัน ถ้ารู้ก่อว่าทางพริมยังทำแบรนด์เดิมอยู่คงจะไม่ร่วมทำแบรนด์ด้วย
ช่วงที่ทำแบรนด์อยู่มันดีมาก ๆ และรู้สึกสนุกมาก แต่พอมาในช่วง มกราคม 66 น้องสาวออม (อัง) ได้ทำอีคอมเมิร์สและจะเข้าไปหาโลโก้ในไดร์ฟ แต่ดันไปเจอโลโก้ของแบรนด์อื่นอยู่ในนั้นด้วย
ซึ่งหลังจากนั้นทางรายการก็ได้เปิดรูป ออม และ พริม ที่อยู่ร่วมกันโดยมีผลิตภัณฑ์เก่าของพริมอยู่ในเฟรมด้วย ซึ่งออมเข้าใจว่าพริมเลิกทำแบรนด์แล้วเพราะไม่ได้มีการส่งงบ ซึ่งทางทนายของออมอธิบายว่า บริษัทR1 ซึ่งก่อนทำแบรนด์ร่วมกันออมได้ไปตรวจแล้วว่าไม่ได้มีการยื่นงบการเงินมา 3- 4 ปจนถูกขีดชื่ออกในปี 67 (เป็นแบรนด์ที่ทำกับดาราท่านหนึ่ง) ซึ่งทำให้ทาง ออม คิดว่าทางพริมไม่ได้ทำกิจการนี้แล้ว